โรคเบาหวาน DIABETES MELLITUS
DIABETES MELLITUS
การรักษาโรคเบาหวานด้วยสเต็มเซลล์
ปัจจุบัน ประชากรโลกที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีอัตราส่วนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการรักษาเป็นเพียงการควบคุมอาการและลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของโรคนี้ แต่ไม่สามารถรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้
จากการศึกษาทดลองรักษาโรคเบาหวานที่ทำในสัตว์ทดลองด้วยการใช้สเต็มเซลล์ชนิดมีเซนไคม์เซลล์ (Mesenchymal stem cell : MSC’s) ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย จึงนำไปสู่การศึกษาทดลองทางคลินิกในมนุษย์ที่เกิดขึ้นมากมายเช่นเดียวกัน โดยพบว่ามีการศึกษาโดยใช้สเต็มเซลล์ชนิดมีเซนไคม์เซลล์ในโรคเบาหวาน 2 รูปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 เป็นการนำสเต็มเซลล์ MSC ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีทั้งด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ไปใช้ประโยชน์โดยตรงเพื่อรักษาตัวโรคเบาหวาน
รูปแบบที่ 2 เป็นการนำสเต็มเซลล์ MSC ไปใช้เพื่อรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน เช่น แผลเบาหวาน
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
ร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมนอินซูลิน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเข้าโจมตีและทำลายเซลล์ของตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน โดยโรคเบาหวานแบบนี้ มักเป็นในกลุ่มผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุไม่มาก แต่อาจพบผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดนี้ได้ในทุกช่วงอายุเช่นกัน ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดนี้จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนอินซูลินเพื่อสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติในทุกวัน ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงทำลายเบต้าเซลล์ (B-Cell) ของตับอ่อนแล้วทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลวิชาการยืนยันว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 1 นี้อาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่คอยกระตุ้นให้เกิดโรค
โรคเบาหวานชนิดที่ 2
เป็นภาวะที่ร่างกายจะไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอ หรือนำอินซูลินไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่
เรามีโอกาสเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในทุกช่วงอายุแม้แต่ในวัยเด็กก็ตาม แต่โดยส่วนใหญ่โรคเบาหวานชนิดนี้มักพบในผู้ป่วยวัยกลางคนและผู้ป่วยสูงอายุ
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ร่างกายดื้อต่ออินซูลินและอินซูลินที่ผลิตออกมามีไม่มากพอที่จะเอาชนะภาวะดื้ออินซูลิน
ถึงแม้ยังไม่ทราบเหตุผลที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน แต่จากการศึกษาวิจัยมีข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าภาวะอ้วนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับโรคเบาหวานชนิดนี้
ประโยชน์ของสเต็มเซลล์เพื่อรักษาโรคเบาหวาน
- ปกป้องเบต้าเซลล์ของตับอ่อนไม่ให้เซลล์ตายแบบ apoptosis
- ส่งเสริมการทำงานของเบต้าเซลล์ของตับอ่อนให้ทำงานได้ดีขึ้น
- สเต็มเซลล์สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเบต้าเซลล์ของตับอ่อน
- ควบคุมการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สมดุลเป็นปกติ
- ลดการอักเสบของเซลล์
- กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ซึ่งใช้วิธีกลืนกินตัวเองของเซลล์
- ป้องกันและแก้ไขภาวะดื้อฮอร์โมนที่เกี่ยวกับการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
- กระตุ้นเซลล์ต่อมไร้ท่อของร่างกายให้สามารถซ่อมแซมตัวเองได้
- กระตุ้นเซลล์ปกติของร่างกายให้สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้
ผลสำเร็จจากการใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคเบาหวาน
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงและระดับน้ำตาลสะสมในเลือดลดลงอย่างชัดเจน
- การอักเสบของเซลล์ลดลงอย่างชัเจน
- การทำงานของไตดีขึ้นซึ่งตรวจวัดได้จากระดับครีอะตินินในเลือด
- กล้ามเนื้อร่างกายสามารถขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ทำงานออกแรงได้ดีขึ้น
- ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า มีพละกำลังมากขึ้น
- โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานลดลง
- ไม่เกิดภาวะอาการชาปลายประสาทจากโรคเบาหวาน
- ไม่มีปัญหาคันผิวหนัง
- ไม่ต้องลุกตื่นนอนเพื่อปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ
- ความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น
บทความที่น่าสนใจ
-
Stem cell therapy for diabetes
Dotstemcell มุ่งมั่นในการพัฒนามาตรฐานชั้นเลิศสู่การบริการรับฝากเก็บเซลล์ต้นกำเนิด เพื่อตอบสนองความพึงพอใจสูงสุดสำหรับทุกครอบครัว การเก็บรักษาสเต็มเซลล์ถือเป็นการลงทุนที่ดีให้กับอนาคตและสุขภาพที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
ทั้งนี้ เพราะไม่ว่าจะมีการเตรียมตัวในเรื่องสุขภาพที่ดีเพียงใด ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงอาการเจ็บป่วยและความเสื่อมถอยของร่างกายตามอายุการใช้งานได้ เพราะเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น ความเสื่อมของเซลล์หรืออวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายย่อมมีมากขึ้นตามลำดับ
การเก็บรักษาสเต็มเซลล์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้บิดามารดาสามารถเก็บรักษาเซลล์ต้นกำเนิดอันมีค่าที่เป็นหนึ่งเดียวกับทารกและมีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับคนในครอบครัว ไว้สำหรับการรักษาโดยเทคโนโลยีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ต้นกำเนิดในอนาคต เช่นนำไปรักษาโรคหัวใจ หรือโรคอัลไซเมอร์
นอกจากนี้ สเต็มเซลล์ที่ถูกเก็บรักษา ยังเปรียบเสมือนอวัยวะสำรองสำหรับการรักษาโรคมะเร็ง หรือโรคเลือดที่สามารถรักษาให้หายได้โดยใช้สเต็มเซลล์